ตาเหลืองเกิดจากอะไร อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ตาเหลืองเกิดจากอะไร อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
Facebook
Twitter
Email

สารบัญ

ดวงตาของคนเราปกติแล้วควรจะมีสีขาวที่บ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่ถ้าหากเกิดพบว่าดวงตามีสีเปลี่ยนไปดูตาเหลือง หมองลงแบบผิดปกติ นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกให้รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นได้ และถึงแม้จะเป็นแค่สีดวงตาที่เปลี่ยนไป แต่ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่าที่คิดอีกด้วย

เพราะส่วนใหญ่แล้วสีของดวงตาขาวที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง มักจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคอันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี และระบบโลหิตในร่างกาย หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว สำหรับใครที่มีปัญหาตาเหลืองอยู่ ห้ามพลาดบทความนี้!

ตาเหลืองอาการเป็นอย่างไร

ตาเหลือง เป็นอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน โดยปกติแล้วบริเวณลูกตาจะเป็นสีขาว แต่ในคนที่ตาเหลืองจะพบว่าตาขาวนั้นมีความหมองลง และเปลี่ยนสีออกเป็นสีเหลืองตั้งแต่เหลืองจาง ๆ ไปจนถึงสีเหลืองเข้มชัดเจน และในบางรายก็อาจมีอาการอื่นทางร่างกายร่วมด้วย เช่น 

  • ผิวเหลือง 
  • ปัสสาวะสีเข้มขึ้น 
  • อุจจาระมีสีจางผิดปกติ 
  • อ่อนเพลีย 

ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับภาวะโรคตับได้ หรือเป็นอาการเตือนจากระบบร่างกายของเราให้ได้รับรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าตอนนี้ร่างกายกำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นอยู่ เพื่อให้คุณได้รู้ตัวและรีบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาเหลืองขึ้นนั่นเอง

ตาเหลืองเกิดจากสาเหตุอะไร

ตาเหลืองเกิดจากสาเหตุอะไร

อาการตาเหลืองเกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการแสดงของอาการโรคต่าง ๆ ที่ค่อนข้างมีความรุนแรงต่อร่างกาย เช่น 

1. การทำงานของตับผิดปกติ

คนที่ตับทำงานผิดปกติมักจะมีอาการตาเหลือง เพราะว่ามีการสะสมของสารบิลิรูบิน (bilirubin) คือ สารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องมาจากการทำงานที่ผิดปกติของตับ ทำให้ตับขาดประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์เหล่านี้นั่นเอง 

 2. โรคตับอ่อนอักเสบ

สาเหตุที่ผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบมักแสดงอาการตาเหลือง นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อตับอ่อนมีการอักเสบ จะทำให้ระบบทางเดินน้ำดีผิดปกติ เช่น ทำให้น้ำดีไหลเวียนได้ไม่สะดวก ซึ่งปกติแล้วท่อน้ำดีจะมีหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำดีที่ผลิตจากตับไปยังลำไส้เล็ก 

แต่เมื่อตับอ่อนมีอาการอักเสบ จึงทำให้การไหลเวียนผิดปกติ ส่งผลให้ระดับบิลิรูบินในเลือดสูงขึ้น จึงทำให้ตาเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต้องรีบพบแพทย์โดยทันที

3. โรคถุงน้ำดี

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมโรคถุงน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ถึงทำให้ตาเหลือง ซึ่งจริง ๆ แล้วเมื่อมีนิ่วในถุงน้ำดี และนิ่วเหล่านั้นหลุดออกมาอุดตันท่อน้ำดี จะทำให้น้ำดีที่ตับผลิตขึ้น ไม่สามารถไหลผ่านไปยังลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยไขมันได้ตามปกติ ส่งผลให้บิลิรูบิน ซึ่งเป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง สะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้น จึงทำให้ตาขาวและผิวหนังของเราเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งเราเรียกว่า ดีซ่าน นั่นเอง

4. ภาวะดีซ่าน

การเกิดภาวะดีซ่านนั้นมาจากการที่ร่างกายสะสมสารสีเหลืองเอาไว้มากเกินไป โดยสารตัวนี้ก็คือ สารบิลิรูบิน (bilirubin) จึงส่งผลให้ตัวเหลือง ตาเหลือง และเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นเพราะตับมีการทำงานที่ผิดปกติ หรือระบบโลหิตทำงานผิดปกตินั่นเอง

5. ความผิดปกติของเลือด

นอกจากตับแล้วการทำงานของระบบโลหิตก็ส่งผลให้เกิดอาการตาเหลืองได้ เช่น คนที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายสลายตัวมากเกินไปจนทำให้เกิดสารสีเหลือง (บิลิรูบิน) หลังเม็ดเลือดสลายตัวสะสมในร่างกายเยอะจนตับกำจัดไม่ทัน หรือในกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคเลือดอย่างธาลัสซีเมีย ที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลายไวกว่าคนปกติ ก็อาจทำให้เกิดอาการตาเหลืองได้เช่นกัน

ตาเหลืองจะกลับมาขาวได้ไหม

หลายคนกังวลเมื่อพบว่าตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งการที่ตาเหลืองนั้นมักเกิดจากปัญหาภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับตับและถุงน้ำดี ดังนั้นปัญหาตาเหลืองจึงสามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องตรงตามสาเหตุของโรคที่เป็น

เมื่อรักษาสาเหตุของโรคได้แล้ว ระดับบิลิรูบินในเลือดจะค่อย ๆ ลดลง และอาการตาเหลืองก็จะค่อย ๆ จางหายไปจนกลับมาเป็นปกติได้

อาการแบบไหนควรรีบไปพบแพทย์

สำหรับคนที่สังเกตเห็นชัดเจนว่าตาขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือมีตาเหลืองชัดเจน ควรเข้าพบแพทย์ทันที เพราะนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติภายในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโรคตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี หรือความผิดปกติของระบบโลหิตในร่างกาย 

ยิ่งหากคุณสังเกตพบว่าตัวเองว่ามีอาการตาเหลืองชัดเจน ร่วมกับมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตัวเหลือง ตัวซีด อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ฯลฯ ควรรีบเข้ารับการรักษากับแพทย์โดยทันที

วิธีดูแลดวงตาให้สดใส ป้องกันตาเหลือง

วิธีดูแลดวงตาให้สดใส ป้องกันตาเหลือง

ตาเหลืองไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องความสวยงาม แต่ยังบ่งบอกถึงสุขภาพภายในที่อาจมีปัญหาอยู่นั่นเอง ดังนั้นการดูแลดวงตาให้สดใสจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยภายนอก แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวมอีกด้วย ซึ่งจะมีวิธีดูแลดวงตาให้สดใสและป้องกันตาเหลืองได้ ดังนี้

1. ดูแลสุขภาพภายใน

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียว และผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง เช่น แครอท ฟักทอง
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายขับของเสียและสารพิษออกไปได้ดี
  • การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจหาโรคต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อดวงตา

2. ดูแลสุขภาพตา

  • หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ควรพักสายตาเป็นระยะ
  • หลีกเลี่ยงแสงจ้า โดยควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องออกไปกลางแจ้ง
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดง ตาคัน หรือตาพร่ามัว ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที

สรุปเรื่องตาเหลือง

นอกจากการดูแลสุขภาพตาเพื่อป้องกันตาเหลืองแล้ว การปรับปรุงรูปลักษณ์ดวงตากับคลินิกทำตาให้สวยงามเข้ากับใบหน้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มเสน่ห์ และความสดใสให้กับใบหน้าได้ เช่น การทำตาสองชั้น การแก้ไขปัญหาหนังตาตก หรือการปรับรูปทรงของดวงตา ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญด้านการทำศัลยกรรมดวงตาอย่าง Fern Clinic เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม ในการปรับรูปทรงตาให้สวย สดใส ครบมิติ อย่างปลอดภัยนั่นเอง

Fern Clinic

บทความโดย : พ.ญ. ปุณฑริกา ตันตยานุสรณ์ (หมอเฟิร์น)

Interested fields: Aesthetic Surgery

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาคุณหมอฟรี!

About Us

ยืนหนึ่งเรื่องแผลสวย ออกแบบทุกความสวย
อย่างประณีต โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ต้องการสอบถามเพิ่มเติมใช่หรือไม่?

ติดต่อเราทางอีเมล drfernaesthetique@gmail.com หรือเบอร์โทรศัพท์ 080-6356464 , 097-9398742